เทศน์เช้า

เทศน์เช้า

๑๑ มี.ค. ๒๕๕๓

 

เทศน์เช้า วันที่ ๑๑ มีนาคม ๒๕๕๓
พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต
ณ วัดป่าสันติพุทธาราม (วัดป่าเขาแดงใหญ่) ต.หนองกวาง อ.โพธาราม จ.ราชบุรี

 

อากาศก็แปรปรวน คนก็แปรปรวน สังคมก็วุ่นวาย แล้วเราเกิดมาอยู่กับโลกแล้วเราจะเอาอะไรเป็นที่พึ่งละ พุทธศาสนานะ ศาสนาพุทธเป็นศาสนาแห่งการใช้ปัญญา พุทธศาสนาครูบาอาจารย์ท่านพูดบ่อยว่าคนไม่มีวาสนาไม่ได้นับถือนะ คนไม่มีวาสนาไม่ได้นับถือเพราะอะไร เพราะพุทธศาสนานี่ต้องพึ่งตัวเอง แต่ศาสนาอื่นเขาอ้อนวอนเอาใช่ไหม เป็นที่พึ่งมีพี่เลี้ยงมีคนคอยดูแล เห็นไหม มีอะไรก็อาศัยเขาหมดเลย อาศัยพระเจ้าอาศัยต่างๆ มันมีคนคุ้มครองดูแล แต่พุทธศาสนาพระพุทธเจ้าสอนว่า อตฺตาหิ อตฺตโน นาโถ ตนเป็นที่พึ่งแห่งตน ตนเท่านั้นที่จะเอาตนพ้นจาก อาสวะกิเลสได้ ตนเท่านั้นนะองค์สมเด็จสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นเพียงผู้ชี้ทาง

แต่ศาสนาอื่นบอกอย่างนี้ไหม ศาสนาอื่นบอกว่ามีที่พึ่งที่อาศัยไปอาศัยเขาทั้งนั้นอ้อนวอนเขาได้ทั้งนั้นเลยแล้วก็ทำได้เป็นจริงตามนั้น แต่พุทธศาสนาให้สอนกลับมาที่เรา ในสังคมทุกสังคมมีคนดีและคนชั่วปนเปกันไป ในฤดูกาลก็มีการเปลี่ยนแปลง ในความคิดความรู้สึกของคนเรามันก็มีกิเลสมีธรรมปนเปกันไป มันมีการปนเปกันไประหว่างความดีและความชั่ว ความดีที่เราตั้งใจปรารถนาเอา ความชั่วไม่ต้องพูดถึงมันเพราะตัณหาทะยานอยาก พญามาร ที่อยู่ของพญามารคือในภวาสวะ คือภพ คือที่อยู่ของมาร เรายังต้องมีบ้านมีเรือนที่อาศัย เวลาเรามีที่อาศัยเห็นไหม เราทำความสงบของใจมีที่พึ่งอาศัย ใจมีความสงบของใจเหมือนมีบ้านมีเรือน แต่ถ้าไม่มีบ้านมีเรือนคนเราเหมือนคนเร่ร่อนคนไม่มีบ้าน คนไม่มีบ้านเขาต้องอาศัยนอนตามพุ่มไม้ อาศัยชายคาบ้านคนอื่น นี่ก็เหมือนกันถ้าเราไม่มีหลักมีเกณฑ์ ในหัวใจเราไม่มีที่พึ่ง ถ้าเราหาที่พึ่งองค์สมเด็จสัมมาสัมพุทธเจ้าบอก ใช่ เธอจงมีธรรมเป็นที่พึ่งเถิด อย่าให้มีบุคคลเป็นที่พึ่งเลย จงมีธรรมเป็นที่พึ่งเถิด แต่ธรรมเห็นไหมสภาวธรรม

เราบอกธรรมชาติๆ ธรรมชาติมันเปลี่ยนแปลง ธรรมชาติมันหมุนเวียน สัจธรรม อริยสัจเห็นไหม จิตนี่กลั่นออกมาจากอริยสัจ มันเข้าใจสัจธรรมความจริงแล้ววางสัจธรรมความจริงนั้นไว้ เราไปยึดสัจธรรม ดูสิ รถรา เครื่องดำเนินพาให้เรามาถึงวัดนี้ได้ ถ้าเราไปติดว่ารถของเรา รถของเรา แล้วเราไม่ลงจากรถ เราจะถึงที่นี่ได้อย่างไร นี่ก็เหมือนกันธรรมะๆน่ะ สัพเพ ธัมมา อนัตตา สภาวะอนัตตา สภาวะความแปรปรวน สภาวะความเปลี่ยนแปลงนี่มันจะส่งให้เราไปถึงธรรม สัจธรรม สัจจะ ความจริงอันหนึ่ง แล้วสัจธรรมมันเกิดมาจากไหนละ

เกิดมาจากความแปรปรวนเห็นไหมเวลาเราประพฤติปฏิบัติกันนะ อันนั้นก็เป็นกิเลส อันนี้ก็เป็นกิเลส อันนั้นก็ห้ามทำๆ ห้ามไปหมดเลย แล้วจะเอาอะไรละ นี่ดอกบัวเกิดจากโคลนตม ธรรมะเกิดจากอธรรม ธรรมะ อธรรม มันเป็นของคู่กันมา แล้วธรรมะในสิ่งที่จริงนี่ มันมีของมันในหัวใจ ฉะนั้นเวลาประพฤติปฏิบัติ อย่าท้อแท้ มันเป็นธรรมดา เราเกิดมานะ เราเป็นคนมั่งมีศรีสุขเรามีบุญกุศลมากมายมหาศาลขนาดไหน โรคชรา เป็นโรคประจำตัวเรานะ ชีวิตนี้มีการพลัดพรากกันเป็นที่สุด เราต้องชราภาพ เราต้องตายไปเป็นธรรมดา มันเป็นไปตามธรรมชาติมันเป็นความจริงอันหนึ่ง

เราเกิดมาเราเกิดจากธรรมชาติ ใช่เกิดจากกรรมเกิดจากพ่อจากแม่ พอเกิดจากพ่อจากแม่นี่ใจเรามาปฏิสนธิเอง ใจเราต่างหากนะ เกิดจากพ่อจากแม่มันเป็นวัฏฏะ มันเป็นผลของวัฏฏะ มันเป็นเรื่องของการเวียนตายเวียนเกิดเรื่องของฤดูกาล แต่จิตของเรามันมีกรรมของมัน มันต้องเกิดไม่เกิดเป็นมนุษย์ก็เป็นเทวดาเป็นอินทร์เป็นพรหมเกิดในนรก อเวจี มันต้องเกิดอยู่แล้ว จิตนี้ต้องเกิดต้องหมุนเวียนไปตามธรรมชาติของมัน จิตนี้มีอยู่แต่ไม่ใช่คงที่ มันแปรสภาพมันตามบุญตามกุศล บุญกุศลขับเคลื่อนให้มันเกิด

ฉะนั้นเราเกิดมาด้วยกรรมของเรา สภาวะที่เกิดโดยธรรมชาติ เราเกิดเราก็ต้องตายเป็นธรรมชาติ โรคชรามันเป็นโรคประจำธาตุขันธ์มันเป็นธรรมชาติของมัน ชีวิตนี้มีการพลัดพรากเป็นที่สุด เราเกิดในพุทธศาสนาเราจะประพฤติปฏิบัติของเราขึ้นมา มันต้องตั้งใจแล้วพยายามฝืน ฝืนอะไร ฝืนกิเลส แต่ธรรมะไม่ต้องฝืนเราพยายามสร้างสมขึ้นมา มันมีของมันโดยธรรมชาติอยู่แล้ว อวิชชา ถ้ามันไม่มีอวิชชา ไม่มีความไม่รู้ในตัวมันเอง มันจะเกิดได้อย่างไร เราไม่รู้สึกตัวเราเอง เราไปเจอสภาวะไหน ก็ อื้อ อื้อ ต่อเมื่อมันเป็นอดีตไปแล้ว

สิ่งที่ผ่านมาน่ะรับรู้แต่สิ่งที่เป็นอดีตมาทั้งนั้นเลย แต่ปัจจุบันเรารู้ไม่ได้ เรารู้ไม่ได้เพราะอะไร เพราะสิ่งที่จิตมันเคลื่อน ดูสิ เวลามีความคิดขึ้นมาสมองมันสั่งงาน ถ้าไม่มีจิตนะคนตายก็มีสมอง คนเป็น อัลไซเมอร์ ก็มีสมอง คนเป็นเจ้าชายนิทราก็มีสมอง มันมีสมองทั้งนั้นแล้วสมองไม่สั่งงาน สมองมันเสื่อมสภาพถ้ามันไม่มีจิต เวลาสมองเสื่อมสภาพนะคนเราเวลาเส้นเลือดแตกเห็นไหม เขานอนอยู่โรงพยาบาลเวลาเราไปพูดเขาตอบสนองเราไม่ได้แต่เขามีความรู้สึกนะ เขามีความรู้สึกเขามีความเสียใจ เขามีน้ำตาไหลนะ เห็นไหมนี่สมองมันสั่งการไม่ได้ แต่ทำไมจิตมันรับรู้ละ

คนเราเวลาเป็นอัมพฤกษ์ อัมพาต มันขยับไม่ได้ แต่เวลาเราไปพูดนะเขารับรู้ได้แต่เขาตอบสนองเราไม่ได้นะ เขากระดิกมือรับรู้ได้ เขารับรู้ของเขาได้ นี่ไงจิตมันสั่งสมอง ถ้าไม่มีจิตสั่งขึ้นมา ถ้าจิตมันไม่มีพลังขึ้นมา สมองมันจะทำงานได้อย่างไร นี่ก็เหมือนกันเวลาจิตมันสั่งสมอง จิตมันมีอวิชชามันก็สั่งไปตามความพอใจของมัน แต่เราสร้างบุญกุศลของเราขึ้นมา

ในสังคมทุกสังคมนะมีคนดีและคนเลวคละเคล้ากันไป ในการเกิดความคิดของเราในการประพฤติปฏิบัติของเรามันก็มีความถูกความผิดคละเคล้ากันไป เราจะบอกเอาความถูกเอาธรรมะปฏิบัติธรรม ผิดไม่เอาเลย ถ้ามีความอยากเป็นตัณหาทะยานอยาก ทุกอย่างเป็นตัณหาความทะยานอยาก มันมีของมันอยู่ รากเหง้ามันมีของมัน แล้วเราจะมาชำระมัน

เราต้องทำความสงบของใจ ถ้าใจมันสงบขึ้นมาได้ ถ้าใจมันสงบขึ้นมา มันเหมือนกับปลาทวนน้ำ ปลาเป็นว่ายทวนน้ำมันก็ลำบากลำบนพอสมควรอยู่แล้ว พอลำบากลำบนขึ้นมามันจะไปวางไข่นะ พอวางไข่เสร็จมันจะโดนสัตว์อื่นกินไข่มันอีก นี่ก็เหมือนกันเราไปทำความสงบของใจขึ้นมาจะมีหลักมีเกณฑ์ขึ้นมานะ กิเลสมันก็แอบกินแอบทำลายตลอดเวลา แอบทำลายนะสมาธิดีนะนั่น ปัญญามันจะเกิดนะ กิเลสมันเสี้ยมมันทำลายตลอดเวลา เราปลาเป็นนะว่ายทวนน้ำ เราไปวางไข่ จิตมันทำผลงานของมันขึ้นมา ด้วยการทดสอบตรวจสอบของเราเห็นไหม แล้วรักษาดูแล มันจะเป็นอย่างไรนะ

ถ้ามันมีเวรมีกรรม ต่อกันขึ้นมา ไข่มันก็โดนปลาอื่นกินหมด แต่ปีหน้าเราก็จะวางไข่เราจะทำ นี่ก็เหมือนกันเราจะทำของเราไปนะ ในพระไตรปิฎก พระโพธิสัตว์ เกิดเป็นกระรอก ปีนอยู่บนต้นมะพร้าว อยู่ริมทะเล ลมมันพัดแรงมาก พาเอาลูกกระรอกตกไปในทะเล

มันรักลูกมันมากนะ มันเอาหางลงไปจุ่มน้ำทะเลขึ้นมาสะบัด จุ่มน้ำทะเลขึ้นมาสะบัดจนเทวดาทนไม่ไหวนะ เทวาดาก็แปลงกายมาเป็นเทพบุตรถามว่า จะทำอะไร จะวิดน้ำทะเลนี้ให้แห้ง วิดน้ำทะเลนี้ให้แห้ง ทำไมละ ก็ลูกตกลงไปในทะเลนั้น เอาอะไรวิดเอาหางไปจุ่มน้ำทะเลขึ้นมาสะบัด น้ำทะเลจะแห้งได้ไหม มันเป็นไปไม่ได้ จะเป็นไปได้หรือเป็นไปไม่ได้ไม่รู้ แต่จะทำ เป็นพระโพธิสัตว์นะ ใช้ความเพียรของท่าน ท่านเอาหางกระรอกไปแช่น้ำขึ้นมาสะบัด จะวิดน้ำทะเลให้แห้ง เพื่ออะไร เพื่อจะเอาลูกนั้นคืนมา

นี่ความเพียรเห็นไหม เราเอาอย่างนี้มาเป็นคติสิ แล้วมาคิดสิถ้าเราทำของเรา เราจะมีความตั้งใจของเราไหม ดูพระโพธิสัตว์ชาติที่เกิดเป็นกระรอกเขายังจะวิดทะเลให้แห้งเลย แล้วเราทำของเรา เราตั้งใจของเรามันก็มีความตั้งใจของเราขึ้นมา มันจะถูกจะผิด มันจะทดสอบตรวจสอบของเราได้ คติธรรมนะเวลาศึกษาธรรมะพระพุทธเจ้า เวลาอ่านพระไตรปิฎก เอามาเป็นคติเรา เอามาเร่งเร้าเราให้เรามีกำลังใจขึ้นมา เราจะได้ต่อสู้กับกิเลสเราได้ ไม่ได้ต่อสู้กับใครเลยต่อสู้กับกิเลสของเรา

กิเลสของเรามันจะเจาะยางตลอด มันจะทำให้น้อยเนื้อต่ำใจ มันจะทำให้ท้อแท้ตลอดไป แล้วทำแล้วมันจะไม่ได้ผล พระพุทธเจ้านะไม่มีใครสอนนะ ท่านไปศึกษากับลัทธิต่างๆ ศึกษามาแล้วก็ปฏิเสธ เพราะมันไม่ให้ผลตามความเป็นจริง แต่อันนี้มันยืนยันนะ หนาวก็รู้ว่าหนาว ร้อนก็รู้ว่าร้อน จิตสัมผัสมันรู้ได้ พอปฏิบัติแล้วมันยังไม่เป็นไป มันยังไม่เป็นไปเพราะเหตุใด หาเหตุ หาผลแล้วใช้ปัญญาใคร่ครวญ พอปัญญามันวงรอบหนึ่ง ปัญญามันเกิดขึ้นมานะ มันจะปล่อยวาง คำว่าปล่อยวาง ปล่อยวางการยึดมั่น ยึดมั่นว่าจะต้องได้ ต้องเป็นอย่างนี้ๆ

พอมันปล่อยวางนะ เฮ้อ… มันสบายรอบหนึ่งนะ แต่ถ้ามันเครียดมันเครียดเพราะอะไร เพราะมันยึดไง ทำแล้วมันต้องได้ ทำแล้วมันต้องได้ แต่มันได้ถูกได้ผิดละ ได้สิ่งใดละ ถ้ามันได้ถูกหรือได้ผิด ยังไม่มัชฌิมาปฏิปทาไม่ได้สมความเป็นจริงเห็นไหม เพราะอะไร ดูสิ เวลาเราทำอาหารไฟอ่อนไฟแก่ ไฟสมควรไฟขนาดไหน มันจะสมดุลขนาดไหนมันจะเป็นไป หน้าที่ของเรามีเท่านี้ อาหารมันจะสุกเพราะอุณหภูมิเพราะการกระทำของเรา เพราะความชำนาญของเรา การประพฤติปฏิบัติของเราก็เหมือนกัน

หน้าที่ของเราคือตั้งสติกำหนด พุทโธ ของเราเข้าไป กำหนดพุทโธของเราเหมือนเราทำอาหาร มันจะสุกเมื่อไหร่ข้างหน้านี่มันอยู่ที่เรากระทำ อย่าน้อยเนื้อต่ำใจ เราทำแล้วเรามีบุญกุศลแล้ว บุญกุศลที่ไหน บุญกุศลที่ทำให้เราหูตาสว่างนี่ไง ดูสิเวลาเราไปตามถนนเห็นไหม ดูสิคนบ้าคนบอ น่าสงสารเขาไหมเขาก็เหมือนเรานี่แหละ เขาก็มีจิตวิญญาณเหมือนกัน แต่เขาขาดสติเขาก็มีชีวิตนะ เขาเก็บของข้างทางไปโดยที่เขาไม่รู้สึกตัวเขาเลย นี่ชีวิตเขาเป็นอย่างนั้น

แล้วชีวิตของเราละ เราตั้งใจของเราเราปฏิบัติของเรา เรามีสติปัญญาของเราเห็นไหม ชีวิตเราดีกว่าเขา ถ้าดูอย่างนั้นมา ชีวิตเรามันก็มีคุณค่าขึ้นมา แล้วเราประพฤติปฏิบัติ องค์สมเด็จสัมมาสัมพุทธเจ้าท่านว่าไม่มีอะไรดีไปกว่านี้แล้วละ มีการกระทำแต่มันจะได้หรือไม่ได้ อยู่ที่อำนาจวาสนาบารมี อยู่ที่การกระทำ วาสนามันอยู่ที่ไหน วาสนาอยู่ในกำมือเรานี่ไง กรรมคือการกระทำ ก็เรากำไว้นะ แบออกสิ นี่จิตมันยึดไว้ยึดมั่นถือมั่น

มันจะเป็นอย่างไรก็เป็น ๗ วัน ๗ เดือน ๗ ปี เวลาจะตั้งใจทำจริง มันจะเป็นอย่างนั้น อุปสรรคจะมีขนาดไหนก็มี อุปสรรคมีทุกคน หลวงปู่มั่นท่านมีอุปสรรคขนาดไหน ครูบาอาจารย์ท่านมีอุปสรรค หลวงตาท่านพูดประจำ เวลาฟังหลวงปู่มั่นท่านพูดถึงประสบการณ์ของท่านนะ ต้องหันหน้าเข้าข้างฝาแล้วน้ำตาไหล สงสารท่าน แทนท่านนะ แต่ท่านเองท่านพูดถึงประสบการณ์ของท่าน ว่าไปที่ไหนมีอุปสรรคขนาดไหน อุปสรรคที่สังคมเขาต่อต้าน อุปสรรคตั้งแต่มีทุกๆอย่างไปหมดเลย เพราะสังคมตอนนั้นยังไม่ยอมรับ

ท่านทำของท่านมาเวลาเล่าให้หลวงตาฟังหลวงตาท่านจับเส้นไง เวลากลางคืนท่านนวดเส้นกัน เวลาพูดสนิทคุ้นเคยท่านจะเล่าประสบการณ์ให้ฟัง ว่าท่านได้ผ่านความทุกข์ยากมาขนาดไหน หลวงตาท่านบอกท่านเบือนหน้าเข้าข้างฝา แล้วน้ำตาไหล ไอ้คนเล่าไม่รู้เรื่องนะ เพราะเล่าประสบการณ์ที่มันผ่านไปแล้ว ใช่ไหม ของมันผ่านไปแล้วท่านประสบของท่านมาแต่ไอ้เราฟังสิ นี่ไงเราเอาคติธรรมสิ องค์สมเด็จสัมมาสัมพุทธเจ้าท่านประพฤติปฏิบัติมาขนาดไหน เอาอย่างนี้มาเป็นสิ่งเร้า

หลวงตาบอก ศาสดาของเราครูเอกของเรา ครูบาอาจารย์ของเราท่านมีหลักเกณฑ์ของท่าน ท่านทำให้เราดู นั่นผลมันมี เราจะได้ไม่ได้ผลมันมีเราเห็นๆอยู่ แต่สิ่งที่เราทำมันยังไม่เกิดประโยชน์อะไรขึ้นมา มันเป็นบุญกุศลเพราะเราปฏิบัติบูชา เราปฏิบัติบูชาองค์สมเด็จสัมมาสัมพุทธเจ้า แต่ถ้ามันทำเป็นสมาธิขึ้นมาเป็นปัญญาขึ้นมา เป็นสมบัติของเรานะ เราประพฤติปฏิบัติบูชาองค์สมเด็จสัมมาสัมพุทธเจ้า แต่มรรคผล ผลที่เกิดประโยชน์เกิดกับเราทั้งนั้นเลย เห็นไหม

เราเกิดในสังคมไทย เรามีในหลวงที่เป็นมงคลอย่างยิ่ง เราทำบุญกุศลอุทิศให้ในหลวงเราได้เองทั้งนั้นเลย เราอุทิศให้ท่านแต่เราก็ได้เพราะเราเป็นคนทำ นี่ก็เหมือนกันเราประพฤติปฏิบัติธรรมบูชาองค์สมเด็จสัมมาสัมพุทธเจ้า แต่เวลามันสงบเราสงบนะ เวลาปัญญาเกิดเกิดกับเรานะ เราบูชาองค์สมเด็จสัมมาสัมพุทธเจ้าแต่เราได้ประโยชน์นะ สิ่งนี้มันเกิดกับเรา เราตั้งใจ อย่าน้อยเนื้อต่ำใจ สังคมทุกสังคมมีคนดีและคนเลวปนกัน ในหัวใจเราก็มีกิเลสตัณหาความทะยานอยาก และธรรมะที่เราพยายามค้นคว้าของเราอยู่เหมือนกัน

สิ่งใดมีกำลังมากกว่ามันก็ฉุดกระชากกันไป ดูสิ ถ้าสังคมมีคนเลวมากกว่าสังคมนั้นก็มีมุมมองต่างไป สังคมที่มีคนดีชักนำสังคมมันก็เป็นความดีนั้นไป ปัญญาของเราสติปัญญาของเรา ถ้ามันชักนำใจของเราให้เป็นสิ่งที่ดี มันก็เป็นประโยชน์กับเรา แต่ถ้ากิเลสตัณหาทะยานอยากมันชักนำไป เราก็น้อยเนื้อต่ำใจมันก็.. เราปล่อย ดีก็ปล่อย ชั่วก็ปล่อย อยู่เป็นกลางอยู่กับปัจจุบัน อยู่กับสติปัญญาของเรา ประพฤติปฏิบัติของเราให้ถึงที่สุด

ดูกระรอกสิ มันยังชุบน้ำเอามาสะบัดๆ เห็นไหม สุดท้ายแล้วเทวดาเอาคืนมาให้นี่อยู่ในพระไตรปิฎก อยู่ในอรรถกถาพระไตรปิฏกเนี่ย เพราะเป็นพระโพธิสัตว์ พระโพธิสัตว์สร้างบุญญาบารมีมาขนาดนั้น ทำจริงทำจังจะได้ผลไม่ได้ผลก็จะทำอย่างนั้น จะทำอย่างนั้น ถึงที่สุดผลมันจะตอบสนองมาเพราะ ความเข้มแข็งของเรา เพราะความจริงจังของเรานะ

เราถึงว่าอย่าน้อยเนื้อต่ำใจการประพฤติปฏิบัติน้อยเนื้อต่ำใจนี่คือกิเลสตัณหาทะยานอยากทั้งนั้น มันคอยเจาะยางมันคอยจะผลักให้ล้มตลอดเวลา แต่กำลังใจสติของเรา เราต้องฟื้นด้วยตัวของเราเอง พุทธศาสนาสอน อตฺตาหิ อตฺตโน นาโถ ตนเป็นที่พึ่งแห่งตน ตนจะเอาตนพ้นจากกิเลสได้ เอวัง